ThaiPropertyToday

KWG ผุดโครงการใหญ่ ‘มิกซ์-ยูส’ ที่ฉะเชิงเทราและอยุธยา เชื่อมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจนโยบาย “วันเบลต์ วันโรด” ของจีนกับเขตพื้นที่ EEC ของไทย

KWG ผุดโครงการใหญ่ ‘มิกซ์-ยูส’ ที่ฉะเชิงเทราและอยุธยา  เชื่อมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจนโยบาย “วันเบลต์ วันโรด” ของจีนกับเขตพื้นที่ EEC ของไทย
Decrease Font Size Increase Font Size Text Size Print This Page

เครือธุรกิจชั้นนำฮ่องกง-จีน ‘คิง ไว กรุ๊ป’ ดำเนินการสร้างเมืองใหม่แบบ ‘มิกซ์-ยูส’ ที่ฉะเชิงเทราและอยุธยา ตามต้นแบบธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จในเซี่ยงไฮ้ ตั้งเป้าการเป็นเมืองที่รองรับสังคมผู้สูงอายุและศูนย์กลางเมืองใหม่แห่งสถาบันการศึกษาที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง หวังกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดการกระจายความเจริญ โดยเฟสแรกของโครงการฉะเชิงเทราเตรียมทุ่มงบราว 3,000 ล้านบาท

คิง ไว กรุ๊ป เดินหน้าเริ่มโครงการก่อสร้างเมืองใหม่ขนาดใหญ่ในประเทศไทยทั้ง 2 แห่ง ตามต้นแบบธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดีในเซี่ยงไฮ้ นั่นคือการวางแผนพัฒนาและขยายเมืองใหม่เพื่อรองรับกับการเติบโตและการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยที่ไม่ต้องรอให้การคมนาคมหรือการขนส่งที่สะดวกสบายเข้าไปถึงก่อน เป็นแผนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่วางเป้าหมายไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน เพื่อกำหนดผังเมืองที่รองรับกับการใช้งานจริงอย่างเต็มประสิทธิภาพสูงสุด

มร.แอนโทนิโอ ฮาง ตัท ชาน รองประธานกรรมการ บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทางกลุ่มกำลังดำเนินการก่อสร้างเมืองใหม่ขนาดใหญ่สองแห่งในไทย ที่ได้ต้นแบบทางธุรกิจจาก “King Wai City Oasis Baoshan” และ “IMX Shanghai Hongqiao Project” ซึ่งประสบผลสำเร็จอย่างน่าพอใจในเซี่ยงไฮ้ โดยปักหมุดดำเนินการสร้างแล้วในเขตจังหวัดฉะเชิงเทราและอยุธยา ซึ่งโครงการแรกที่จังหวัดฉะเชิงเทรา มีพื้นที่ขนาด 1,997 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ศูนย์ดูแลสุขภาพ ศูนย์รองรับผู้สูงอายุ พื้นที่สันทนาการและการท่องเที่ยว รวมทั้งศูนย์กระจายสินค้า มีแนวคิดหลักเป็นสมาร์ทซิตี้ที่ทันสมัย สอดรับกับนโยบายของจังหวัดที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาเมืองและยกระดับตนให้มีความทันสมัย พัฒนาทัดเทียมกับเมืองใหญ่อื่นๆ โดยเฟสแรกของโครงการจะทุ่มงบประมาณราว 3,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่จังหวัดอยุธยา มีพื้นที่ราว 2,500 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัย สถาบันการศึกษา และคอมมิวนิตี้ไลฟ์สไตล์ มีแนวคิดหลักในการเป็นพื้นที่เพื่อการศึกษาและเป็นที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบายครบครัน ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยผ่านทางฟังก์ชั่นที่ออกแบบไว้ของพื้นที่ดังกล่าว

ทั้งนี้ มร.แอนโทนิโอ ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า “สำหรับประเทศไทยนั้นมีโอกาสด้านการลงทุนที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการเป็นส่วนหนึ่งที่เส้นทางสายไหมศตวรรษที่ 21 หรือ “Belt and Road Initiative” ของจีน ไทยยังตั้งอยู่ในจุดภูมิศาสตร์ที่เหมาะสม ถือเป็น ฮับ (Hub) ที่สำคัญมากในแถบอาเซียน และในปัจจุบันจีนเองก็ไม่ได้สร้างกำแพงเมืองที่ยิ่งใหญ่เพื่อป้องกันผู้ใด แต่หันมาปรับตัวเชื่อมโยงตนกับประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมกับสร้างโอกาสด้วยโครงสร้างพื้นฐานซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนามิตรประเทศ”